GS: Independent Studies
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing GS: Independent Studies by Author "#PLACEHOLDER_PARENT_METADATA_VALUE#"
Now showing 1 - 20 of 87
Results Per Page
Sort Options
- Publicationกลยุทธ์การเพิ่มจํานวนผู้รับบริการสินเชื่อภายใต้นโยบาย “การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID –19” ของธนาคารออมสิน ในจังหวัดศรีสะเกษ(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; การศึกษากลยุทธ์การเพิ่มจำนวนผู้รับบริการสินเชื่อภายใต้นโยบาย “การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID – 19” ของธนาคารออมสินในจังหวัดศรีสะเกษ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาของการขอใช้บริการและหาแนวทางเพิ่มจำนวนผู้รับบริการสินเชื่อภายใต้นโยบาย “การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID - 19” ธนาคารออมสิน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการนิติบุคคลในจังหวัด ศรีสะเกษ ที่เข้ามาใช้บริการธนาคารออมสินในพื้นที่บริการ 9 สาขาและกลุ่มลูกค้านิติบุคคลในจังหวัดศรีสะเกษ จำนวนรวม 389 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยใช้เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามผ่าน Google Form มีจำนวนแบบสอบถามที่สมบูรณ์จำนวน 352 ชุด และกลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ พนักงานศูนย์สินเชื่อธุรกิจลูกค้า SMEs 12 ศรีสะเกษ จำนวน 5 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผู้วิจัยได้นำทฤษฎีแผนผังก้างปลา ทฤษฎีด้านประชากรศาสตร์ ทฤษฎีเกี่ยวกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ทฤษฎีการวิเคราะห์ SWOT และทฤษฎีการวิเคราะห์ TOWS Matrix ตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาประกอบการวิจัยในครั้งนี้ด้วย ผลการศึกษา พบว่าผู้ตอบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 41 – 50 ปี ประกอบธุรกิจ ค้าปลีก/ค้าส่ง และมียอดขายระหว่าง 300,000 บาท แต่น้อยกว่า 500,000 บาทต่อเดือน ผู้ตอบแบบสอบถามที่รู้จักผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่รู้จักผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์มากที่สุด และส่วนใหญ่ไม่ได้ยื่นขอใช้บริการผลิตภัณฑ์เนื่องจากไม่ทราบเงื่อนไขผลิตภัณฑ์ ว่าธุรกิจของตนเข้าเงื่อนไขการยื่นขอสินเชื่อหรือไม่ ในส่วนของระดับการมีอิทธิพลของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดต่อการตัดสินใจใช้บริการผลิตภัณฑ์แปลผลตาม Likert's scale ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับความสำคัญได้แก่ 1) ราคา 2) องค์ประกอบทางกายภาพ 3) บุคลากร 4) ช่องทางการจัดจำหน่าย 5) ผลิตภัณฑ์ 6) การส่งเสริมการตลาด และ 7) การบริการ ตามลำดับ จากการสัมภาษณ์พนักงานเกี่ยวกับข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการ พบว่า 1) ด้านผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการยังไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ค่อนข้างเยอะ 2) ด้านราคา ผลิตภัณฑ์คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ ช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับลูกค้าได้ 3) ด้านช่องทางการบริการ พบว่า สถานการณ์ COVID –19 เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการลูกค้า 4) ด้านส่งเสริมการตลาด มีกิจกรรมส่งเสริมการตลาดค่อนข้างน้อย 5) ด้านการบริการ ยังขาดการเชิญชวนลูกค้าเข้ามาใช้บริการ 6) ด้านบุคลากร พนักงานในสาขายังรู้จักรายละเอียดเงื่อนไขผลิตภัณฑ์สินเชื่อนโยบาย ฯ ค่อนข้างน้อย 7) ด้านองค์ประกอบทางกายภาพ ยังขาดเครื่องมือที่ทันสมัยในการให้บริการลูกค้า ความคิดเห็นของพนักงานเกี่ยวกับปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการให้บริการ พบว่าปัจจุบันมีคู่แข่งขันเข้ามาใหม่มากราย มีการแข่งขันกันสูง การเข้ามามีบทบาทของเทคโนโลยีที่มากขึ้น ส่งผลให้คู่แข่งขันพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้า และข้อเสนอแนะแนวทางในการเพิ่มจำนวนผู้รับบริการสินเชื่อนโยบายฯ ในระดับต่าง ๆ ดังนี้ 1) ระดับองค์กร ควรมีการผ่อนปรนเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อ มีกลยุทธ์โฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น พัฒนาเครื่องมือที่ทันสมัยรองรับการให้บริการลูกค้ามากขึ้น 2) ระดับธุรกิจหรือทีมงาน ควรมีการจัดประชุม ให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ธนาคารและหาแนวทางหาลูกค้าเข้ามาใช้บริการ จัดทำเอกสารประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจง่าย มีรายละเอียดเงื่อนไขผลิตภัณฑ์ครบถ้วน 3) ระดับปฏิบัติการ (พนักงาน) พนักงานควรมีบริการหลังการใช้บริการ กระตือรือร้นที่จะให้บริการและเชิญชวนลูกค้าเข้ามาใช้บริการและหากลยุทธ์การเพิ่มจำนวนผู้รับบริการสินเชื่อภายใต้นโยบาย “การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID – 19” ของธนาคารออมสินในจังหวัดศรีสะเกษ ออกมาเป็น 4 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 กลยุทธ์เชิงรุก - จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ แนวทางที่ 2 กลยุทธ์เชิงแก้ไข - จัดหลักสูตรอบรมออนไลน์ผ่านสื่อการเรียนรู้ E-learning ของธนาคารให้กับพนักงานเมื่อมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ แนวทางที่ 3 กลยุทธ์เชิงรับ - ทำการตลาดเชิงรุกเชิญชวนลูกค้าเข้ามาใช้บริการ และแนวทางที่ 4 กลยุทธ์เชิงป้องกัน - ทีมงานศูนย์สินเชื่อ ฯ จัดตารางลงพื้นที่ตามสาขาต่าง ๆ ให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กับพนักงานสาขาให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดคือ แนวทางที่ 3 กลยุทธ์เชิงรับ - ทำการตลาดเชิงรุกเชิญชวนลูกค้าเข้ามาใช้บริการ และแนวทางที่ 4 กลยุทธ์เชิงป้องกัน – ทีมงานศูนย์สินเชื่อธุรกิจลูกค้า SMEs 12 ศรีสะเกษ จัดตารางลงพื้นที่ตามสาขาต่าง ๆ58 737 - Publicationกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในธุรกิจของ บริษัท บีจีคอนเทนเนอร์ กล๊าส จํากัด (มหาชน)(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; การศึกษาค้นคว้างานวิจัยฉบับนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ กลยุทธ์ธุรกิจและกลยุทธ์การตลาด เพื่อได้เปรียบทางการแข่งขันในธุรกิจของบริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการ วิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลปฐมภูมิ โดยมีผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 9 คนซึ่งเป็น ตัวแทนของพนักงานบริษัทฯทั้งหมด นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้มาซึ่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) โดยการเก็บรวบรวมข้อมูล จากบทความ สิ่งตีพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ รวมไปถึงแหล่งข้อมูล สาธารณะที่มาจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆเช่น รายงาน 56-1 รายงานประจำปี แบบแสดงรายการ ข้อมูลประจำปี รวมถึงข้อมูลเว็บไซต์ภายในบริษัท หนังสือพิมพ์ และวารสาร บริษัทฯ เป็นต้น เมื่อนำ ข้อมูลปฐมภูมิกับข้อมูลทุติยภูมิมารวบรวมพบว่า ความเสี่ยงหลักในการดำเนินธุรกิจสามารถแบ่งเป็น 2 ส่วนได้ดังนี้ 1. ความเสี่ยงภายใน ได้แก่ ความเสี่ยงจากการพึ่งพากลุ่มลูกค้ารายใหญ่จำนวนน้อยราย ความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ ความเสี่ยงจากการที่ไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบในราคาและปริมาณที่เหมาะสม ความเสี่ยงจากการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ไม่สามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจ และความเสี่ยงที่ไม่สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2. ความเสี่ยงภายนอก ได้แก่ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการใช้บรรจุภัณฑ์ทางเลือกอื่นๆ ความเสี่ยงจากสภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์อื่นใดที่นอกเหนือความควบคุม และอาจทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ หยุดชะงักลงและความเสี่ยงจากการที่เข้าไปลงทุนในกิจการใหม่ ทั้งนี้ผู้วิจัยได้วางแนวทางในการแก้ไขปัญหา ดังนี้ 1. การสต็อกเศษแก้วไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน และเข้าไปเป็นเจ้าของบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบเศษแก้ว โดยการถือหุ้น 100% 2. การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) การคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ 3. การมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ (Cost Leadership) 4. การเจาะจงในตลาด (Focus) มุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมยา เครื่องสำอางและความงาม โดยให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีรูปแบบซับซ้อนและเจาะจงกับกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะ 5. การจัดทำแผนพัฒนาบุคลากรของบริษัท 6. การจัดทำแผนพัฒนาผู้ขายวัตถุดิบที่สำคัญ 7. ลงทุนในระบบการผลิตต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมระบบการผลิต มุ่งสู่การผลิตแบบ Machine Intensive 8. ทำการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องในโครงการที่จะไปลงทุนโดยละเอียด โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 9. การลงทุนเพิ่มในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน Total Packaging Solution ทั้งนี้การดำเนินกลยุทธ์ต่างๆ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของปัจจัยทั้งภายในและภายนอกองค์กร และจะต้องมีการประเมินความเป็นไปได้ในการลงทุนอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน โดยพิจารณาถึงผลตอบรับที่ได้และการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาวเป็นสำคัญ63 430 - Publicationการจำแนกความแตกต่างของระดับความสำคัญด้านส่วนประสมทางการตลาดของธุรกิจบริการ ระหว่างกลุ่มผู้เลือกใช้ศูนย์บริการเฉพาะ กับกลุ่มผู้เลือกใช้อู่บริการทั่วไป(University of the Thai Chamber of Commerce, 2015)
; ; ; 45 313 - Publicationการจำแนกความแตกต่างความต้องการส่วนประสมทางการตลาดระหว่างกลุ่มผู้เคยซื้อหลอดไฟฟ้าแบบแอลอีดี และผู้ไม่เคยซื้อหลอดไฟฟ้าแบบแอลอีดีในเขตกรุงเทพมหานคร = Classification between purchases LED bulb and never purchases LED bulb by using Marketing Mixes (4Ps) in Bangkok Metropolitan(University of the Thai Chamber of Commerce, 2015)
; ; ; การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นเพื่อการศึกษาความต้องการส่วนประสมทางการตลาดระหว่างกลุ่มผู้เคยซื้อหลอดไฟฟ้าแบบแอลอีดี และกลุ่มผู้ไม่เคยซื้อหลอดไฟฟ้าแบบแอลอีดีในกรุงเทพมหานคร โดยใช้แบบสอบถามแบบมาตรส่วน (Likert-scale) ซึ่งแบ่งเป็นระดับความต้องการ 5 ระดับ ได้แก่ ไม่ต้องการอย่างยิ่งจนถึงความต้องการอย่างยิ่งเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งนี้เก็บกลุ่มตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 200 คน จากนั้นใช้เครื่องมือทางสถิติในการวิเคราะห์ประกอบไปด้วย One-Way ANOVA วิเคราะห์ความถี่และร้อยละ Chi-Square วิเคราะห์การแสดงตารางไขว้ Discriminate Analysis ในการจำแนกสองกลุ่มทั้งนี้เพื่อทราบความต้องการส่วนประสมทางการตลาดของทั้งสองกลุ่ม เพื่อนำมาใช้ในการประกอบธุรกิจหลอดไฟวางแผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหา และวิเคราะห์สถานการณ์ในอนาคตต่อไป ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยความต้องการส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อ ทั้งสองกลุ่ม คือ ด้านราคา ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านส่งเสริมทางการตลาด โดยทั้งสองกลุ่มมีความต้องการแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือด้านผลิตภัณฑ์ และด้านการส่งเสริมทางการตลาด ในเรื่องความเพี้ยนของแสงที่เปล่งออกมา ความสามารถในการกันน้ำของหลอดไฟ และการรับรู้ข่าวสารโดยมุ่งเน้นตามทางคมนาคมขนส่ง46 400 - Publicationการจำแนกความแตกต่างด้านความต้องการต่อส่วนประสมทางการตลาดของทัวร์ไหว้พระ 1 วัน จ. พระนครศรีอยุธยา ระหว่างกลุ่ม Generation X กับ กลุ่ม Generation Y(University of the Thai Chamber of Commerce, 2015)
; ; ; การจำแนกความแตกต่างด้านความต้องการต่อส่วนประสมทางการตลาดของทัวร์ไหว้พระ 1 วัน จ.พระนครศรีอยุธยา ระหว่างกลุ่ม กลุ่ม Generation X กับ กลุ่ม Generation Y การเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบจัดกลุ่มพื้นที่ ในเขตกรุงเทพมหานคร จานวน 200 ชุด โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล จากนั้นทาการประมวลผลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางคอมพิวเตอร์ โดยค่าสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างโดยใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ คือ Disciminant Analysis วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านความต้องการต่อส่วนประสมทางการตลาด ของทัวร์ไหว้พระ 1 วัน จ.พระนครศรีอยุธยา ของกลุ่ม Generation X กับ กลุ่ม Generation Y และเพื่อค้นหาปัจจัยด้านความต้องการต่อส่วนประสมทางการตลาด ของทัวร์ไหว้พระ 1 วัน จ. พระนครศรีอยุธยา ที่สามารถใช้ในการจำแนกกลุ่ม Generation X กับ Generation Y จากการศึกษาพบว่า กลุ่ม Generation X กับ กลุ่ม Generation Y มีความต้องการต่อส่วนประสมทางการตลาดที่แตกต่างกัน โดย กลุ่ม Generation X จะให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจาหน่าย และปัจจัยด้านการสร้างและนำเสนอลักษณะทางกายภาพ ในขณะที่ กลุ่ม Generation Y จะให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ เท่านั้น39 368 - Publication
40 296 - Publicationการจำแนกความแตกต่างทางด้านทัศนคติต่ออาชีพผู้ช่วยการพยาบาลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองกับนอกเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ = Classification attitude toward nursing assistant profession between high school grade 12 in capital district and other districts, Burirum(University of the Thai Chamber of Commerce, 2015)
; ; ; การจำแนกความแตกต่างทางด้านทัศนคติต่ออาชีพผู้ช่วยการพยาบาลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองกับนอกเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาทัศนคติต่ออาชีพผู้ช่วยการพยาบาลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่อาศัยอยู่ภายในอำเภอเมืองในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ 2. เพื่อศึกษาทัศนคติต่ออาชีพผู้ช่วยการพยาบาลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่อาศัยอยู่ภายนอกเขตอำเภอเมืองในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ 3. เพื่อค้นหาทัศนคติต่ออาชีพผู้ช่วยการพยาบาลที่สามารถใช้ในการจำแนกกลุ่มนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่อาศัยอยู่นอกเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ผลจากการวิจัยในภาพรวมพบว่า ทัศนคติต่ออาชีพผู้ช่วยการพยาบาลนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่หกในเขตพื้นที่อำเภอเมืองต่างจากนักเรียนนอกเขตพื้นที่อำเภอเมือง พบว่า ข้อคำถามที่ทำให้กลุ่มอำเภอเมืองแตกต่างจากกลุ่มนอกอำเภอเมือง มี 5 ข้อคำถามที่ทำให้สองกลุ่มแตกต่างกัน ได้แก่ การให้ความเคารพสิทธิมนุษยชนของผู้ป่วย ผู้ช่วยการพยาบาลเป็นอาชีพที่มีรายได้ดี ผู้ช่วยการพยาบาลควรมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงาน ต่อให้เลือกอาชีพอื่นได้ก็ยังคงทำงานผู้ช่วยการพยาบาล และผู้ช่วยการพยาบาลทำให้เป็นคนมีเมตตากรุณา ซึ่งกลุ่มนอกอำเภอมีค่าเฉลี่ยของกลุ่มดีกว่ากลุ่มในอำเภอเมือง42 459 - Publicationการจำแนกความแตกต่างระหว่างกลุ่ม นักศึกษาหญิงสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และนักศึกษาหญิงสถาบันอุดมศึกษารัฐ โดยใช้ปัจจัยด้านความต้องการต่อส่วนประสมทางการตลาด 7P's เมื่อซื้อเสื้อนักศึกษาหญิง กรณีศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร(University of the Thai Chamber of Commerce, 2014)
; ; ; งานวิจัยนี้จัดทำขึ้นเพื่อการจำแนกความแตกต่างระหว่างกลุ่มนักศึกษาหญิงสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และนักศึกษาหญิงสถาบันอุดมศึกษารัฐ โดยใช้ปัจจัยด้านความต้องการต่อส่วนประสมทางการตลาด 7P's เมื่อซื้อเสื้อนักศึกษาหญิง กรณีศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มรวม 200 ชุด จากนั้นทำการประมวลผล โดยค่าสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Discriminant Analysis สรุปผลได้ดังนี้ จากผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มมีความต้องการต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในเรื่อง ราคา พนักงาน ผลิตภัณฑ์ สถานที่จัดจาหน่าย ซึ่งนักศึกษาหญิงสถาบันอุดมศึกษารัฐต้องการเสื้อนักศึกษาแบบถูกระเบียบตามกฎกระทรวงศึกษาธิการ ต้องการพนักงานที่มีบุคลิกภาพดี ต้องการร้านค้าตั้งอยู่ในซุปเปอร์เซ็นเตอร์ เช่น โลตัส เป็นต้น ต้องการให้มีรายการราคาแจ้งอย่างชัดเจน และราคาถูกกว่าร้านอื่น ในทางกลับกัน นักศึกษาหญิงสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ต้องการเสื้อนักศึกษามีรูปแบบทันสมัยเพียงอย่างเดียว25 315 - Publicationการจำแนกความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ซื้อกระเป๋าประเภทไฮสตรีทแบรนด์ กับกลุ่มผู้ซื้อกระเป๋าประเภทลักชัวรี่แบรนด์ เพศหญิงจากร้านค้ารับฝากซื้อ โดยใช้ปัจจัยด้านความสำคัญของส่วนประสมการค้าปลีก กรณีศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร(University of the Thai Chamber of Commerce, 2014)
; ; ; 43 296 - Publicationการจำแนกความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ที่ซื้อมะนาวไปใช้ในธุรกิจร้านอาหารและกลุ่มผู้ที่ซื้อมะนาวไปใช้ในธุรกิจร้านเครื่องดื่ม ในเขตกรุงเทพมหานครโดยใช้ปัจจัยด้านพฤติกรรมในการเลือกซื้อมะนาว กรณีศึกษา สวนมะนาวชยาธร(University of the Thai Chamber of Commerce, 2014)
; ; ; 56 431 - Publicationการจำแนกความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าในห้างไฮเปอร์มาร์เก็ตกับกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าในห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยใช้ปัจจัยด้านความพึงพอใจที่มีต่อส่วนประสมการค้าปลีก = Differentiate between consumer hypermarket and consumer supermarket in retailing mix by used satisfactions factor(University of the Thai Chamber of Commerce, 2015)
; ; ; การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านความพึงพอใจที่มีต่อส่วนประสมการค้าปลีกของกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าในห้างไฮเปอร์มาร์เก็ตและกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าในห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต นอกจากนี้ยังเพื่อค้นหาปัจจัยด้านความพึงพอใจที่สามารถใช้ในการจำแนกกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าในห้างไฮเปอร์มาร์เก็ต กับกลุ่มผู้บริโภคทีjซื้ออสินค้าในห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากลุ่มตัวอย่างจำนวน 200 ตัวอย่าง และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยด้านความพึงพอใจที่มีต่อส่วนประสมการค้าปลีกของผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าในห้างไฮเปอร์มาร์เก็ต ได้แก่ ปัจจัยด้านองค์ประกอบการสื่อสาร ส่วนปัจจัยด้านความพึงพอใจที่มีต่อส่วนประสมการค้าปลีกของผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าในห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต ได้แก่ ปัจจัยด้านการคัดสรรสินค้า และในส่วนของปัจจัยด้านความพึงพอใจที่สามารถใช้ในการจำแนกกลุ่มผู้บริโภคทั้งสองกลุ่ม ได้แก่ มีการโฆษณาราคาสินค้าผ่านสื่อทางหนังสือพิมพ์ที่ชัดเจน สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายมีราคาถูกกว่าห้างอื่น มีขั้นตอนการชำระเงินที่รวดเร็ว มีการตกแต่งภายในห้างที่สวยงามและมีการคัดสรรสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ37 313 - Publicationการตัดสินใจเลือกใช้บริการบัตรเดบิต สมาร์ทไลฟ์ ธนาคารออมสินภาค 1 กรุงเทพมหานคร(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; การศึกษาการตัดสินใจเลือกใช้บริการบัตรเดบิต สมาร์ทไลฟ์ จากธนาคารออมสินภาค 1 กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์บัตรเดบิต สมาร์ทไลฟ์ ธนาคารออมสิน และเพื่อกำหนดปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์บัตรเดบิต สมาร์ทไลฟ์ มีการใช้บริการตามเป้าหมายของธนาคาร โดยกลุ่มตัวอย่างได้แก่ กลุ่มลูกค้าที่ของธนาคารออมสิน ภายในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล อันได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นต่อปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการในภาพรวม อยู่ในระดับมากและนำแต่ละด้านมาพิจารณาถึงปัญหาที่ควรนำมาปรับปรุง ได้แก่ ด้านสภาพแวดล้อมบริการ โดยควรเพิ่มความสะดวกของพื้นที่ในการจอดรถโดยเฉพาะของลูกค้าที่มาใช้บริการ ในด้านผลิตภัณฑ์บริการ ควรมีรูปแบบภาพสีสัน ลวดลายสวยงามบนบัตร เพื่อเพิ่มสิ่งดึงดูดให้ลูกค้าลูกค้า มีความสนใจมากยิ่งขึ้น ในด้านราคา ค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับบัตรค่อนข้างมีราคาที่สูงกว่าคู่แข่ง จึงทำให้ลูกค้ายังไม่ตัดสินใจสมัครบริการกับทางธนาคาร ในด้านกระบวนการให้บริการ การจัดเอกสารแนะนำ วิธีการใช้บริการและสถานที่ใช้บริการยังมีความซับซ้อนและไม่สะดวกพอสำหรับความต้องการของลูกค้า ในด้านบุคลากรผู้ให้บริการ พนักงานต้องมีการฝึกอบรมเรื่องการให้บริการแก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ ในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายบางครั้งจะทำให้เกิดความไม่สะดวกใจได้ ส่วนในด้านช่องทางส่งเสริมการตลาดนั้น ควรเพิ่มความเข้าใจให้ลูกค้าในการเข้าถึงข้อมูลของผลิตภัณฑ์โดยมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลผลิตภัณฑ์มากขึ้น110 653 - Publicationการทําเหมืองข้อมูลเพื่อพยากรณ์โอกาสลูกค้ามีหนี้ค้างชําระ(University of the Thai Chamber of Commerce, 2020)
; ;สุวรรณี อัศวกุลชัย; ; ; ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีวิสัยทัศน์ว่า “เป็นธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน มุ่งสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชนบท” ภาระหนี้สินเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของครัวเรือนเกษตรกรที่เป็นลูกค้าของธ.ก.ส. การที่เกษตรกรที่เป็นลูกค้าไม่สามารถส่งชําระหนี้คืนให้กับธ.ก.ส.ได้ ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุใดก็ตามล้วนส่งผลต่อการดําเนินงานของธ.ก.ส.และยังอาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือในการดูแลคุณภาพชีวิตของเกษตรกรด้วย ทั้งนี้ หากสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยําหรือใกล้เคียงความเป็นจริงว่าลูกค้าคนใดมีโอกาสที่จะเป็นหนี้ค้างชําระ ก็จะช่วยให้สามารถป้องกันหรือแก้ไขก่อนที่จะเป็นหนี้ค้างชําระได้ ดังนั้น ในบทความนี้ได้ประยุกต์ใช้เหมืองข้อมูลในการพยากรณ์โอกาสลูกค้ามีหนี้ค้างชําระ ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์สําหรับใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชําระต่อไป วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้จึงศึกษาปัจจัยที่ทําให้ลูกค้ามีหนี้ค้างชําระ และประยุกต์การทําเหมืองข้อมูลมาใช้ในการพยากรณ์โอกาสลูกค้ามีหนี้ค้างชําระ ดําเนินงานการศึกษาโดยใช้แนวทางของกระบวนการ CRISP-DM ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างเกษตรกรรายย่อยมาจํานวน 860 คน ทําการจัดชุดข้อมูลเป็น 3 ชุด เลือกกลุ่มตัวอย่างมาร้อยละ 70 80 และ 90 ของจํานวนกลุ่มตัวอย่างที่มี 860 คน เป็นชุดข้อมูลสําหรับฝึกสอน (Training set) กันข้อมูลส่วนหนึ่งไว้สําหรับเป็นชุดทดสอบ (Test set) 86 คน ไม่ซ้ำกับชุดฝึกสอน แต่ใช้สําหรับทดสอบกับชุดฝึกสอนทุกชุด ทําการสร้างแอตทริบิวต์ขึ้นมาใหม่ อีก 28 แอตทริบิวต์ สําหรับใช้เป็นปัจจัยในการพยากรณ์ ใช้วิธีการ One Hot Encoding แปลงแอตทริบิวต์ข้อมูลที่เป็น Nominal Number และใช้หลักการของ Max-Min Nomalization ปรับบรรทัดฐานข้อมูลที่มีช่วงแตกต่างกันมาก ใช้โปรแกรม WEKA Version 3.8.5 ช่วยในการสร้างและวิเคราะห์แบบจําลอง ใช้เทคนิคการสร้างแบบจําลอง 3 เทคนิค ไดแก่ Decision Tree j48, Support Vector Machine (SVM) และ Naïve Bayes และทําการวัดประสิทธิภาพแบบจําลองโดยใช้วิธี 10-fold cross-validation ผลการศึกษา พบว่า แบบจําลองที่ใช้ข้อมูลจากเกษตรกรรายย่อย ที่ใช้ชุดทดสอบจํานวน 688 คน (80% จากจํานวน 860 คน) โดยใช้เทคนิค Support Vector Machine (SVM) ซึ่งใช้ฟังก์ชั่นเคอร์เนลแบบเชิงเส้น (Linear kernel) ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เมื่อทดสอบด้วยชุดทดสอบ 86 คน โดยมีค่า Accuracy, Kappa statistic และ ROC Area เท่ากับ 81.3953% 0.4452 และ 0.774 ตามลําดับ131 573 - Publicationการประยุกต์เหมืองข้อมูลเพื่อพยากรณ์ปัจจัยที่ทําให้เกิดหนี้ค้าง ภายใต้การให้บริการด้านสินเชื่อโครงการสินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending)(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ;สุวรรณี อัศวกุลชัย; ; ; การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาหนี้ค้าง (NPL) ผ่านโครงการพัฒนาระบบสินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending) ในกลุ่มลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จังหวัดลพบุรี และเพื่อประยุกต์เหมืองข้อมูลในการอนุมัติสินเชื่อในการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินกู้ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าเงินกู้ที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อฉุกเฉินที่มีอยู่ในระบบสารสนเทศของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จังหวัดลพบุรี จำนวน 9,002 ราย จากการที่ลูกค้ากรอกข้อมูลส่วนตัวลงใน Line Official ของ ธ.ก.ส. เพื่อสมัครสินเชื่อฉุกเฉิน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการสร้างแบบจำลองการเรียนรู้ผ่านโปรแกรม Weka เพื่อหาความสำคัญของปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้ค้าง (NPL) ผลการศึกษา จากการทดลองใช้ตัวแบบพยากรณ์ จำนวน 3 แบบ ได้แก่ เทคนิคต้นไม้ตัดสินใจ (Decision Tree), เทคนิคเบย์อย่างง่าย (Naïve Bayesain classifier) และเทคนิคซัพพอร์ตเวกเตอร์เเมชชีน (Support vector machine; SVM) พบว่า เทคนิคต้นไม้ตัดสินใจ (Decision Tree) มีค่าความถูกต้องในการทำนาย (Correctly Classified Instances) มากที่สุด93 526 - Publicationการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้แนวคิดการผลิตแบบลีนในกระบวนการขึ้นรูปแม่พิมพ์ขวดพลาสติก กรณีศึกษาบริษัท GP(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; ; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดของเสียในกระบวนการเป่าขึ้นรูป In Mold Labelling เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาและกำหนดมาตรการป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำ และลดต้นทุนการผลิตของสินค้าที่เสียหายเพื่อเพิ่มศักยภาพของกระบวนการผลิต วิธีการดำเนินงานเริ่มจากการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ Check Sheet และลำดับความสำคัญของปัญหาเพื่อดำเนินการแก้ไขโดยใช้กฎพาเรโต 80:20 และทำการแจกแจงสาเหตุของปัญหาด้วยแผนภาพสาเหตุและผล รวมถึงนำสาเหตุที่ได้ทำการวิเคราะห์สภาพของปัญหาโดยใช้เครื่องมือ FMEA และทำการประเมินโดยใช้ค่าความเสี่ยงชี้นำ RPN มากกว่า 100 คะแนน ทำการเสนอแนวทางในการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขและทำการประเมินอีกครั้งหลังการปรับปรุงเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาซ้ำได้อีก ผลการดำเนินงานพบว่าปัญหาฉลากพองเป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน โดยดำเนินการแก้ไขทั้งหมด 3 สาเหตุ คือ 1.) อุณหภูมิในกระบอกสกรูและหัวไหลต่ำไป แก้ไขโดยปรับตั้งค่าอุณหภูมิกระบอกสกรูที่ 190°c, 195°c อุณภูมิหัวไหลปรับตั้งค่าที่ 215°c, 220°c 2.) รูดูดฉลากที่แม่พิมพ์ตันทำให้ระบายอากาศไม่ทัน แก้ไขโดยเพิ่มรูดูดฉลากเป็น 13 รู 3.) แรงลมเป่าไม่พอ แก้ไขโดยปรับตั้งค่าแรงลมเป่าอยู่ที่ 7-8 บาร์ โดยหลังการปรับปรุงพบว่าปริมาณของเสียสามารถลดลงได้ถึง 2,150 ชิ้นต่อเดือน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 91.88% สามารถลดมูลค่าความเสียหายต่อต้นทุนการผลิตได้ถึง 36,550 บาทต่อเดือน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 91.88% และหลังการปรับปรุงมีค่า RPN ลดลงถึง 271 คะแนน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 92.18%72 593 - Publicationการยอมรับการใช้บริการ Mobile Banking ในกลุ่มลูกค้าเกษตรกรผู้สูงอายุ บริบทธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; ; การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับการใช้งาน Mobile Banking ในกลุ่มลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในเขตกรุงเทพมหานคร เฉพาะปีบัญชี 2564 จำแนกตามปัจจัยแรงจูงใจในการใช้งาน ปัจจัยการเข้าถึงและการใช้งาน และปัจจัยความพึงพอใจในการใช้บริการ Mobile Banking โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ โดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการสร้างแบบจำลองการเรียนรู้แบบมีผู้สอน (Supervised Learning) วิเคราะห์ผ่านโปรแกรม Weka (Waikato Environment for Knowledge Analysis) เพื่อกลุ่มข้อมูลหาความสัมพันธ์จากการทำนายผลของผู้ที่ใช้งาน Mobile Banking เพื่อหาความสำคัญของปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้งาน Mobile Banking ผลการศึกษา พบว่าปัจจัยในการยอมรับการใช้บริการ มีระดับการยอมรับการใช้งานในด้านการประหยัดเวลาในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องไปที่สาขาของธนาคารอยู่ในระดับมาก การเข้าถึงและการใช้งานในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด มีการเข้าถึงและการใช้งานฟังก์ชั่นในการโอนเงินจากบัญชี ธ.ก.ส. ไปยังธนาคารอื่นอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ในด้านขั้นตอนการใช้งานในการทำธุรกรรมง่ายต่อการใช้งานอยู่ในระดับมาก โดยในกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่มีการใช้งาน Mobile Banking พบว่า มีระดับการยอมรับการใช้งานในด้านการประหยัดเวลาในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องไปที่สาขาของธนาคาร อยู่ในระดับมากที่สุด มีการเข้าถึงและการใช้งานในการโอนเงินจากบัญชี ธ.ก.ส. ไปยังธนาคารอื่นอยู่ในระดับมากที่สุด และส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ในด้านขั้นตอนการใช้งานในการทำธุรกรรมง่ายต่อการใช้งานอยู่ในระดับมาก และกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบว่ามีระดับการยอมรับการใช้งานในด้านการประหยัดเวลาในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องไปที่สาขาของธนาคารอยู่ในระดับมากที่สุด มีการเข้าถึงและการใช้งานเพื่อตรวจสอบยอดเงินเคลื่อนไหวในบัญชี ธ.ก.ส. อยู่ในระดับมากที่สุด และส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ ธ.ก.ส. A-Mobile ในด้านขั้นตอนการใช้งานในการทำธุรกรรมง่ายต่อการใช้งานอยู่ในระดับมากที่สุด ข้อเสนอแนะจากงานการศึกษานี้คือ ธนาคารควรพัฒนา ปรับปรุง ผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุดตามปัจจัยที่ได้วิเคราะห์ในการศึกษาครั้งนี้ เพื่อที่จะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าให้มาใช้บริการ ธ.ก.ส. A-Mobile และสามารถดึงลูกค้าใหม่ใช้บริการผลิตภัณฑ์กับทางธนาคารมากที่สุด88 407 - Publicationการลดความสูญเสียจากการคิดค่ารักษาทางกายภาพบําบัดคลาดเคลื่อน กรณีศึกษาศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสาเหตุและปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความ คลาดเคลื่อนในการคิดค่ารักษาทางกายภาพบำบัดและหาแนวทางแก้ไขเพื่อลดความคลาดเคลื่อนในเชิงระบบของศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากข้อร้องเรียนในเรื่อง ความคลาดเคลื่อนในการคิดค่ารักษาทางกายภาพบำบัดจากผู้ป่วย ส่งผลให้เกิดการสูญเสียรายได้หรือ มีผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของโรงพยาบาล การศึกษานี้ได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูล จากพนักงานศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 37 คน และการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 10 คน และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ โดยใช้สถิติแบบร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ด้านปัจจัยการทำงานของบุคลากรโดยรวม มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แบ่งออกเป็น 4 ปัจจัยคือ ความรู้ความเข้าใจในการทำงานอยู่ในระดับมากที่สุด ความสัมพันธ์กับบุคคลในที่ทำงานอยู่ในระดับมาก สภาพแวดล้อมในการทำงานอยู่ในระดับมาก ขวัญและกำลังใจในการทำงานอยู่ในระดับมาก 2. ด้านวิธีปฏิบัติงาน โดยรวมระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก 3. ด้านวัสดุและอุปกรณ์โดยรวมระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก 4. ด้านคอมพิวเตอร์และโปรแกรมโดยรวมระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และจากการสัมภาษณ์เชิงลึกพนักงานส่วนใหญ่ เห็นว่าความคลาดเคลื่อนจากการคิดค่ารักษาทางกายภาพบำบัดจะพบในขั้นตอนการบันทึกค่ารักษา ลงในระบบคอมพิวเตอร์ โดยการแก้ไขควรเน้นการทวนสอบการทำงานเพื่อลดข้อผิดพลาด และเมื่อเกิดความคลาดเคลื่อน ควรกล่าวคำขอโทษต่อผู้รับบริการ โดยแจ้งหัวหน้ารวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อร่วมกันพิจารณาหาสาเหตุและแนวทางการแก้ไข ซึ่งผู้ทำการศึกษาได้เสนอแนวทางแก้ไข 3 ทางเลือก คือ 1. การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศ ในการคิดค่ารักษา 2. การปรับปรุงกระบวนการและปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการคิดค่ารักษาตามหลัก 4M และ 3. การสร้างแรงจูงใจและบทลงโทษในการทำงาน โดยใช้แบบประเมินกลยุทธ์ของ Richard Rumelt เพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับองค์กรนี้ คือ แนวทางที่ 2 การปรับปรุงกระบวนการและปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการคิดค่ารักษาทางกายภาพบำบัดตามหลัก 4M ในด้านปัจจัยการทำงานของบุคลากร, วิธีปฏิบัติงาน, วัสดุและอุปกรณ์ และคอมพิวเตอร์และโปรแกรม เนื่องจากต้นทุนในการจัดการตามแนวทางนี้ค่อนข้างต่ำ สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลามาก และพนักงานในหน่วยงานสามารถปรับตัวต่อแนวทางนี้ได้ง่าย87 332 - Publicationการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ กลุ่มประชากรที่มีอายุระหว่าง 25 -50 ปี ในพื้นที่อําเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้ เป็นการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณให้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างไม่ลำบากหรือเตรียมความพร้อมเมื่อมีเหตุที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น และเพื่อศึกษาการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ ของกลุ่มประชากรที่มีอายุ 25 – 50 ปี ในพื้นที่อำเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ช่วงวัยทำงาน ที่มีอายุระหว่าง 25 – 50 ปี เป็นแรงงานคืนถิ่นจำนวนมาก เพื่อมาทำการเกษตรมากขึ้น อัตราการว่างงานในจังหวัดขอนแก่น ในปี 2562 คิดเป็นร้อยละ 1.19 ซึ่งเพิ่มจากปี 2561 คิดเป็นร้อยละ 0.52 และอัตราการจ้างงานในภาคเกษตร จังหวัดขอนแก่น ในปี 2562 คิดเป็นร้อยละ 56.58 เพิ่มขึ้นจากปี 2561 คิดเป็นร้อยละ 0.91 (สำนักงานสถิติจังหวัดขอนแก่น 2562) ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ สร้างแหล่งรายได้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตหลังเกษียณอายุ หรือเตรียมความพร้อมเมื่อมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น นอกจากการออมเงินในรูปแบบของเงินฝากธนาคารแล้ว ยังมีการลงทุนทางการเงินให้เลือกอีกมากมาย เช่น การลงทุนในกองทุนรวม กองทุนประกันสังคม กองทุนเงินออมแห่งชาติ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นสามัญ ประกันชีวิต เป็นต้น ที่ตรงกับความต้องการและจำนวนเงินที่สามารถออมได้ จากศึกษาใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน โดยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานในการทดสอบสมมติฐานใช้การทดสอบไควสแควร์ พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 36 – 40 ปี มีสถานภาพโสด มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพเกษตรกร รายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 15,001 – 30,000 บาท สามารถออมหรือลงทุนได้ 3,001 – 5,000 บาท ทุกเดือน ในระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ต้องการผลตอบแทนต่ำกว่า 5% ศึกษาข้อมูลการวางแผนทางการเงินด้วยตนเอง โดยมีข้อจำกัด คือ ไม่มีความสนใจ ส่วนใหญ่เลือกการวางแผนทางการเงินที่คุ้มครองเงินต้น เช่น เงินฝากธนาคาร สลากออมทรัพย์ เพื่อทำธุรกิจส่วนตัว เพื่อใช้ยามฉุกเฉิน/ค่ารักษาพยาบาล โดยข้อมูลส่วนตัว ได้แก่ เพศ สถานภาพ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อพฤติกรรมการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ และส่งผลต่อการให้ความสำคัญต่อคุณลักษณะเฉพาะส่วนบุคคลแตกต่างกัน โดยให้ความสำคัญต่อโปรโมชั่น คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ การนำเสนอและความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการ ในระดับมีอิทธิพลน้อย100 811 - Publicationการวิเคราะห์การจัดทำและบริหารงบประมาณการลงทุนด้านการก่อสร้างอาคาร กรณีศึกษาสำนักงานในส่วนงานภูมิภาคของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธก.ส.)(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; การศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการจัดทําและการบริหารงบประมาณการลงทุนก่อสร้างสาขา ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตั้งแต่กระบวนการเสนอขอสร้างสาขา กระบวนการพิจารณาอนุมัติการก่อสร้างและกระบวนการจัดสร้างสาขา ตามกรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดทํางบประมาณและการบริหารงบประมาณการลงทุนก่อสร้างสาขาของ ธ.ก.ส. เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการวางแผนจัดทํางบประมาณและการบริหารงบประมาณการลงทุนก่อสร้างสาขาของ ธ.ก.ส. โดยทําการเก็บข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก ในส่วนงานสํานักงานใหญ่ และส่วนงานภูมิภาค รวมทั้งหมด 44 คน ประกอบด้วย ผู้บริหาร จํานวน 22 คน และพนักงาน จํานวน 22 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เครื่องมือแผนผังก้างปลา เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา ผลการศึกษาพบว่า บุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ให้มุมมองการเกิดปัญหา ดังนี้ 1. ด้านนโยบาย พบว่า มีการปรับเปลี่ยนนโยบาย โดยการกระจายอํานาจให้สาขาดําเนินการแทนส่วนกลาง และชะลอการก่อสร้างสาขาที่เป็นสาขาตําบล 2. ด้านงบประมาณ พบว่า ขาดการจัดลําดับความสําคัญก่อนหลัง ของแผนงานให้สอดคล้องกับศักยภาพของบุคลากร และการประมาณการงบประมาณไว้สูงเกินไป 3. ด้านกระบวนการ พบว่า มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ตาม พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กรอบระยะเวลาไม่เพียงพอ การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ผู้รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนกับธนาคารมีน้อยราย และราคากลางต่ำเกินไป 4. ด้านบุคลากร พบว่า บุคลากรของส่วนกลางไม่เพียงพอ การโยกย้ายสับเปลี่ยนพนักงาน และพนักงานขาดประสบการณ์และไม่มีความรู้ ทางผู้ศึกษาได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา 3 แนวทาง ดังนี้ 1. นโยบายการปรับลดจํานวนสาขาหรือปรับขนาดสาขาให้เล็กลง และลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้น 2. นโยบายให้ส่วนกลางดําเนินการโดยตรง หากพนักงานไม่เพียงพอให้จ้างบริษัทภายนอกและควบคุมโดยส่วนกลาง 3. นโยบายการกระจายอํานาจให้ส่วนภูมิภาคดําเนินการเอง ทางผู้ศึกษาขอเสนอแนวทางเลือกที่ 1 นโยบายการปรับลดจํานวนสาขา คือ การลงทุนด้านเทคโนโลยี ทําให้ธนาคารมีการปรับตัวโดยการนําเทคโนโลยีมาช่วยอํานวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการทางการเงินแก่ลูกค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากรให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทางการเงิน แนวทางนี้จะช่วยลดปัญหาในด้านบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในส่วนงานภูมิภาค ที่มีการโยกย้ายสับเปลี่ยนตําแหน่งภายในองค์กร พนักงานขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนินงานก่อสร้างสาขา และสามารถบริหารงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรได้54 458 - Publicationการศึกษากลยุทธ์ด้านราคาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสื่อโฆษณาดิจิทัลของผู้ซื้อสื่อโฆษณาในศูนย์การค้า ก. ในจังหวัดขอนแก่น(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากลยุทธ์ด้านราคาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสื่อโฆษณาดิจิทัลของผู้ซื้อสื่อโฆษณาในศูนย์การค้า ก. ในจังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างที่ให้ข้อมูลในรูปแบบการสัมภาษณ์ คือ กลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อสื่อโฆษณา จำนวน 5 ราย และลูกค้าที่คาดว่ามีแนวโน้ม ที่สนใจที่จะซื้อสื่อโฆษณาดิจิทัลภายในศูนย์การค้า ก. ในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 200 กลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test Independent, One-Way ANOVA, Multiple Regression Analysis รวมถึงการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาตามผลการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ พบว่า มีกลยุทธ์ด้านราคา 4 กลยุทธ์หลักที่มีการใช้ ในการกำหนดราคาสื่อโฆษณาป้ายดิจิทัล ประกอบด้วย 1) กลยุทธ์ราคาแบบรวมกัน (Bundle Pricing) เป็นการตั้งราคาด้วยการนำเอาสินค้าแบบเดียวกันหรือต่างชนิดกันมากกว่า 1 มารวมขายเป็นแพคเกจ 2) กลยุทธ์ราคาให้ส่วนลด (Discount Pricing) เป็นการตั้งราคาโดยให้ความสำคัญกับ ต้นทุนและงบประมาณที่ใช้ในการซื้อสื่อ 3) กลยุทธ์ราคาล่อใจ (Loss Leader Pricing) เป็นการตั้งราคาเพื่อจูงให้ให้ผู้ซื้อสื่อสนใจ และตัดสินใจซื้อสื่อป้ายโฆษณา LED เช่น ทำสัญญา 12 เดือน รับส่วนลด 50% 4) กลยุทธ์ราคาตามการแข่งขัน (Competition-Based Pricing) ผลการวิเคราะห์เชิงปริมาณ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 41 – 50 ปี มีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี โดยประเภทธุรกิจการดำเนินธุรกิจเป็นแบบบริษัท จำกัด มีระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ มากกว่าหรือเท่ากับ 8 ปี ขึ้นไป ประเภทสินค้าหลักของการดำเนินธุรกิจคือ ประเภทยานยนต์ และรายได้ของธุรกิจต่อเดือนเฉลี่ย น้อยกว่า 500,000 บาท ซึ่งผู้บริโภคมีความคิดเห็นต่อกลยุทธ์ด้านราคาของสื่อโฆษณาดิจิทัลของผู้ซื้อสื่อลงโฆษณาในศูนย์การค้า ก. ในจังหวัดขอนแก่น ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีระดับความสำคัญมากที่สุด ได้แก่ กลยุทธ์การตั้งราคาล่อใจ รองลงมากลยุทธ์การตั้งราคาโดยให้ส่วนลด กลยุทธ์การตั้งราคาตามการแข่งขัน และการตั้งราคาโดยให้ส่วนลด ตามลำดับ กลยุทธ์ด้านราคาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสื่อโฆษณาดิจิทัลของผู้ซื้อสื่อโฆษณาในศูนย์การค้า ก. ในจังหวัดขอนแก่น พบว่า กลยุทธ์ด้านราคาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสื่อโฆษณาดิจิทัลของผู้ซื้อสื่อโฆษณาในศูนย์การค้า ก. ในจังหวัดขอนแก่น ได้แก่ กลยุทธ์การตั้งราคาล่อใจ และกลยุทธ์การตั้งราคาโดยให้ส่วนลด อย่างมีนัยสำคัญ ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการ ควรเน้นไปยังกลยุทธ์การตั้งราคาล่อใจ (Loss Leader Pricing) โดยพิจารณาการขายสื่อโฆษณาดิจิทัล ณ ระดับราคาตามตลาด และกลยุทธ์การตั้งราคาโดยให้ส่วนลด (Discount Pricing) ซึ่งตามผลการศึกษา ลูกค้ามีความสนใจซื้อสื่อในเงื่อนไขกลยุทธ์การตั้งราคา สื่อโฆษณา A กำหนดราคาอยู่ที่ 17,000 บาทต่อเดือน รวมกับสื่อโฆษณา B กำหนดราคาอยู่ที่ 27,000 บาทต่อเดือน พร้อมส่วนลด 10% ในขณะเดียวกันลูกค้านิยมรูปแบบของสัญญารายเดือน สัญญา 3 เดือน หรือน้อยกว่า โดยมีงบประมาณในการซื้อสื่ออยู่ที่ประมาณไม่เกิน 20,000 บาทต่อ เดือน99 1252