Browsing by Subject "อัตราผลตอบแทน"
Now showing 1 - 6 of 6
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการวิเคราะห์เปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนของการลงทุนเลี้ยงกุ้งระหว่างกุ้งขาวแวนนาไมและกุ้งกุลาดำการศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของต้นทุนและผลตอบแทนของการลงทุนเลี้ยงกุ้งระหว่างกุ้งขาวแวนนาไมและกุ้งกุลาดำของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในตำบลบางสน อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร รวมถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมและกุ้งกุลาดำ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในพื้นที่ตำบลบางสน อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร จำนวน 10 ราย ซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งแต่ละราย ที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างนั้น จะเป็นบุคคลเดียวกัน ผู้วิจัยจะสัมภาษณ์ทั้งในด้านการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมและกุ้งกุลาดำโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่า การเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมนั้น ใน 1 รอบการเลี้ยงกุ้ง เกษตรกรมีต้นทุนการ ผลิตต่อไร่เฉลี่ย 246,212.90 บาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อไร่เฉลี่ย 2,955.25 บาท ยอดขายต่อไร่เฉลี่ย 358,017.27 บาท อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยร้อยละ 28.76 อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย ร้อยละ 27.39 อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์กรณีเช่าบ่อกุ้งเฉลี่ยร้อยละ 193.49 อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์กรณีเจ้าของที่ดินเฉลี่ยร้อยละ 61.10 และสำหรับการเลี้ยงกุ้งกุลาดำนั้น ใน 1 รอบการเลี้ยงกุ้ง เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตต่อไร่เฉลี่ย 301,599.91 บาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อไร่เฉลี่ย 2,574.81 บาท ยอดขายต่อไร่เฉลี่ย 466,553.80 บาท อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยร้อยละ 33.46 อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยร้อยละ 32.40 อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์กรณีเช่าบ่อกุ้งเฉลี่ยร้อยละ 254.84 อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์กรณีเจ้าของที่ดินเฉลี่ยร้อยละ 95.04 และผลการวิเคราะห์ Wilcoxon signed-rank test พบว่า ยอดขายต่อไร่ ต้นทุนการผลิตต่อไร่ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อไร่ อัตรากำไรขั้นต้น อัตรากำไรสุทธิ อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ (ROA) ทั้งกรณีเช่าบ่อกุ้ง และกรณีเจ้าของที่ดินเปรียบเทียบกันระหว่างการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมและการเลี้ยงกุ้งกุลาดำไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 นอกจากนี้ยังพบว่าปัญหาและอุปสรรคในการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมและกุ้งกุลาดำ คือ ปัญหาเรื่องโรคระบาดเนื่องจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ปัญหาคุณภาพน้ำ ปัญหาพันธุ์ลูกกุ้งไม่มีคุณภาพ ปัญหาอาหารกุ้งมีราคาสูง และปัญหาราคาผลผลิตไม่แน่นอน
343 2813 - Publicationการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตอ้อยโรงงานของเกษตรกรรายย่อยในเขตพื้นที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานีการศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนการผลิตและวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนในการผลิตอ้อยเข้าสู่โรงงานของชาวไร่อ้อยรายย่อยเขตพื้นที่ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ผู้ศึกษารวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามในการสัมภาษณ์เกษตรกรชาวไร่อ้อยรายย่อยที่มีพื้นที่เพาะปลูกอ้อยไม่เกิน 30 ไร่ โดยสัมภาษณ์เกี่ยวกับสภาพการผลิตโดยทั่วไป ต้นทุนการผลิตและผลตอบแทนที่เกิดขึ้นปี 2561 และปี 2562 โดยผู้ศึกษาได้นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนโดยใช้อัตราส่วนทางการเงิน ผลการศึกษา พบว่ารายได้จากการขายผลผลิตของเกษตรผู้ปลูกอ้อยในปี 2561 มีรายได้รวมเฉลี่ย 6,920.15 บาทต่อไร่ และปี 2562 มีรายได้รวมเฉลี่ย 7,414.45 บาทต่อไร่ ปี 2561 มีต้นทุนการผลิตอ้อยรวมเฉลี่ย 5,193.27 บาทต่อไร่ โดยแบ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบ รวมเฉลี่ย 2,012.17 บาทต่อไร่ ต้นทุนแรงงานการเพาะปลูก รวมเฉลี่ยต่อปี 700.68 บาทต่อไร่ ต้นทุนค่าแรงจากการเก็บเกี่ยว รวมเฉลี่ย 1,984.79 บาทต่อไร่ มีค่าใช้จ่ายในการผลิตอื่นๆ รวมเฉลี่ย 495.63 บาทต่อไร่ และมีค่าขนส่งอ้อยเข้าโรงงาน เฉลี่ยรวม 988.59 บาทต่อไร่ ปี2562 มีต้นทุนการผลิตอ้อย รวมเฉลี่ย 5,196.69 บาทต่อไร่ โดยแบ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบ รวมเฉลี่ย 2,012.17 บาทต่อไร่ ต้นทุนแรงงานการเพาะปลูก รวมเฉลี่ยต่อปี 700.68 บาทต่อไร่ ต้นทุนค่าแรงจากการเก็บเกี่ยว รวมเฉลี่ย 1,984.79 บาทต่อไร่ มีค่าใช้จ่ายในการผลิตอื่นๆ รวมเฉลี่ย 499.05 บาทต่อไร่ และมีค่าขนส่งอ้อยเข้าโรงงาน เฉลี่ยรวม 988.59 บาทต่อไร่ การวิเคราะห์กำไร(ขาดทุน) จากการปลูกอ้อยปี 2561 พบว่ามีกำไรสุทธิรวมเฉลี่ย 738.29 บาทต่อไร่ และปี 2562 มีกำไรสุทธิ รวมเฉลี่ย 1,229.17 บาทต่อไร่ การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนโดยใช้อัตราส่วนทางการเงินของ ปี 2561 พบว่ามีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น เฉลี่ยเท่ากับ 25% มีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานเฉลี่ยเท่ากับ 11% อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ยเท่ากับ 1% อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนเฉลี่ยเท่ากับ 15% และปี 2562 พบว่ามีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น เฉลี่ยเท่ากับ 30% มีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน เฉลี่ยเท่ากับ 17% อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ รวมเฉลี่ยเท่ากับ 2% อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนเฉลี่ยเท่ากับ 26%
458 3311 - Publicationการศึกษาเปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนจากการปลูกยางพารา จังหวัดนครศรีธรรมราชการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทน และศึกษาปัญหาของเกษตรกรในการปลูกยางพารา ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้ศึกษาใช้แบบสอบถาม ในการสัมภาษณ์กลุ่มครัวเรือนที่ปลูกยางพาราที่ได้รับผลผลิตน้ำยางพาราแล้วจำนวน 10 ราย โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดพื้นที่ในการปลูกยางพาราใกล้เคียงกันคือตั้งแต่ 7-10 ไร่ ศึกษา 5 ปีย้อนหลังตั้งแต่ปี 2558 ถึง ปี 2562 โดยผู้ศึกษาใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง ผลการศึกษาการเปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนจากการปลูกยางพาราจังหวัดนครศรีธรรมราช ต้นทุนการปลูกยางพารา เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 ซึ่งเป็นปีฐาน พบว่า ในปี 2559 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.38 ในปี 2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.84 ในปี 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.64 และในปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.74 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของต้นทุนมีการเพิ่มขึ้นไม่มากในแต่ละปี ในส่วนของรายได้การปลูกยางพาราเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 เป็นปีฐานสรุปว่าในปี 2559 ลดลงร้อยละ 16.67 ในปี 2560 ลดลงร้อยละ 40 ในปี 2561 ลดลงร้อยละ 50 และในปี 2562 ลดลงร้อยละ 56.67 ซึ่งมีอัตราการลดลงสูง ในส่วนกำไรสุทธิ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 เป็นปีฐานสรุปว่าในปี 2559 ลดลงร้อยละ 24.36 ในปี 2560 ลดลงร้อยละ 58.83 ในปี 2561 ลดลงร้อยละ 74.74 และในปี 2562 ลดลงร้อยละ 84.47 ซึ่งมีอัตราการลดลงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในส่วนอัตราส่วนกำไรขั้นต้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 เป็นปีฐานสรุปว่าในปี 2559 ลดลงร้อยละ 6.34 ในปี 2560 ลดลงร้อยละ 21.09 ในปี 2561 ลดลงร้อยละ 32 และในปี 2562 ลดลงร้อยละ 41.76 ในส่วนอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 เป็นปีฐานสรุปว่าในปี 2559 ลดลงร้อยละ 6.4 ในปี 2560 ลดลงร้อยละ 21.53 ในปี 2561 ลดลงร้อยละ 32.50 และในปี 2562 ลดลงร้อยละ 42.44 ในส่วนอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 เป็นปีฐานสรุปว่าในปี 2559 ลดลงร้อยละ 0.03 ในปี 2560 ลดลงร้อยละ 6.5 ในปี 2561 ลดลงร้อยละ 8.28 และในปี 2562 ลดลงร้อยละ 9.36 ในส่วนผลตอบแทนจากเงินลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 เป็นปีฐานสรุปว่าในปี 2559 ลดลงร้อยละ 92.32 ในปี 2560 ลดลงร้อยละ 132.80 ในปี 2561 ลดลงร้อยละ 141.05 และในปี 2562 ลดลงร้อยละ 159.92 จะเห็นว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจากการปลูกยางพาราลดลงอย่างต่อเนื่องในทุกอัตราส่วนปัญหาของเกษตรกรในพื้นที่ปลูกยางพารา จังหวัดนครศรีธรรมราช แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ ปัญหาด้านต้นทุน และ ปัญหาด้านการตลาด ในส่วนปัญหาด้านต้นทุน พบว่าต้นทุนค่าปุ๋ ย ค่าอุปกรณ์ทำการเกษตรบางรายการ รวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิง มีราคาเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบ 5 ปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัญหาด้านการตลาด พบว่าเกษตรกรมีปัญหาในเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ ราคารับซื้อผลผลิตยางพาราลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2558 ถึง ปี 2562
632 1249 - Publicationความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ของบริษัทหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ของบริษัทหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยใช้ข้อมูลจากงบการเงินของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทหมวดอาหารและเครื่องดื่มรายไตรมาสตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2559 ถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2561 เป็นเวลา 12 ไตรมาส 37 บริษัท ทำให้มีจำนวนตัวอย่างที่มาใช้ในการศึกษาครั้งนี้ จำนวน 434 ตัวอย่าง และทำการวิเคราะห์ด้วยสมการถดถอยอย่างง่าย (Simple Linear Regression) จากผลการศึกษาแบบ จำลอง ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ พบว่า อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์รวม (ROA) มีความสัมพันธ์กันในทิศทางเดียวกันกับอัตราผลตอบแทนส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 เพราะเมื่อกิจการมีความสามารถบริหารงานหรือใช้สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดกำไรสูง บริษัทก็จะจ่ายเงินปันผลดี มูลค่าบริษัทสูงขึ้น ทำให้ราคาหลักทรัพย์สูงขึ้นส่วนอัตราส่วนกำไรสุทธิของส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราส่วนกำไรต่อยอดขาย (NPM) และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขาย (OIM) ไม่มีความสัมพันธ์กันกับอัตราผลตอบแทนส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 กล่าวคือ อัตราส่วนกำไรสุทธิของส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราส่วนกำไรต่อยอดขาย (NPM) และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขาย (OIM) ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราผลตอบแทนส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ เนื่องจากการศึกษาที่ผ่านมายังพบว่า มีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นลงเช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ สถานการณ์การเมือง นโยบายของรัฐบาล อัตราเงินเฟ้อ การแข่งขันในอุตสาหกรรม และอีกหลายๆ ปัจจัยที่ส่งต่อผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์
345 1198 - Publicationความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วนทางการเงินกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (MAI) กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วนทางการเงินกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ กรณีศึกษา บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของอัตราส่วนทางการเงินกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์และเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ระหว่างบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร โดยเก็บข้อมูลทุติยภูมิจากงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร จำนวน 8 บริษัท กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร จำนวน 28 บริษัท และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร จำนวน 2 บริษัท รวม 38 บริษัท ในช่วงไตรมาศที่ 1 พ.ศ.2557 ถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2562 รวมทั้งสิ้น 912 ตัวอย่าง ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) วิเคราะห์สัมประสิทธิส์ หสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) และวิเคราะห์สมการถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ จากการศึกษาพบว่า มีอัตราส่วนทางการเงินจำนวน 8 อัตราส่วน ได้แก่ อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้ อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราความสามารถในการชำระดอกเบี้ย อัตรากำไรขั้น อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นมีผลต่ออัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญจากนั้นเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวกับราคาหลักทรัพย์ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) โดยการใส่ตัวแปรหุ่น (Dummy Variable) ทำการวิเคราะห์โดยใช้สมการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษา พบว่า ที่อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้การค้า อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ อัตราความสามารถในการช าระดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ ในขณะที่ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตรากำไรขั้นต้น อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ มีความสัมพันธ์เชิงลบกับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ ผลการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการศึกษากับอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) โดยการแทนค่าตัวแปรหุ่น (Dummy Variable) พบว่าความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ตลาดหลักทรัพย์ไม่มีความแตกต่างกัน
1325 24445 - Publicationต้นทุนและผลตอบแทนของการลงทุนปลูกพริกไทยแบบอินทรีย์เพื่อการค้าในจังหวัดจันทบุรีการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนจากการปลูกพริกไทยแบบอินทรีย์เพื่อการค้า โดยใช้อัตราส่วนทางการเงินในการวัดผล ประกอบด้วย อัตรากำไรขั้นต้น อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ และอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุน กลุ่มตัวอย่างในการศึกษานี้คือเกษตรกรในพื้นที่อำเภอนายายอาม อำเภอท่าใหม่ อำเภอแก่งหางแมว อำเภอเขาคิชฌกูฏ และอำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ที่มีองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการปลูกพริกไทยตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป โดยใช้วิธีเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 10 ราย ซึ่งผู้ศึกษาใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง จากการศึกษาพบว่า เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยของปี 2558 ถึงปี 2562 เท่ากับ 144,194.87 บาท 146,062.32 บาท 144,624.73 บาท 141,727.19 บาท และ 126,569.40 บาท ตามลำดับ มีผลตอบแทนเฉลี่ยของปี 2558 ถึงปี 2562 เท่ากับ 608,386.00 บาท 571,283.00 บาท 541,662.00 บาท 215,800.50 บาท และ 193,610.00 บาท ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์โดยใช้อัตราส่วนทางการเงิน พบว่า อัตราส่วนกำไรขั้นต้นปี 2558 ถึงปี 2562 เท่ากับ 76.30% 74.43% 73.30% 34.32% และ 34.63% ตามลำดับ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมปี 2558 ถึงปี 2562 เท่ากับ 58.24% 54.14% 51.43% 9.81% และ 9.08% ตามลำดับ อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนปี 2558 ถึงปี 2562 เท่ากับ 380.51% 330.60% 310.45% 59.21% และ 60.65% ตามลำดับ สำหรับต้นทุนการผลิตค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดในกระบวนการผลิต และราคาขายผลผลิตที่ลดลงมีสาระสำคัญต่อผลตอบแทนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของอัตราส่วนทางการเงินจากการคำนวณหาผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ มีผลตอบแทนสูงสุดในปี 2558 ทั้ง 3 อัตราส่วน ซึ่งเป็นผลมาจากราคาขายผลผลิตที่สูงสุดในปีดังกล่าว
335 9519