Browsing by Subject "การทำงาน"
Now showing 1 - 3 of 3
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการลดความสูญเสียจากการคิดค่ารักษาทางกายภาพบําบัดคลาดเคลื่อน กรณีศึกษาศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสาเหตุและปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความ คลาดเคลื่อนในการคิดค่ารักษาทางกายภาพบำบัดและหาแนวทางแก้ไขเพื่อลดความคลาดเคลื่อนในเชิงระบบของศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากข้อร้องเรียนในเรื่อง ความคลาดเคลื่อนในการคิดค่ารักษาทางกายภาพบำบัดจากผู้ป่วย ส่งผลให้เกิดการสูญเสียรายได้หรือ มีผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของโรงพยาบาล การศึกษานี้ได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูล จากพนักงานศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 37 คน และการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 10 คน และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ โดยใช้สถิติแบบร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ด้านปัจจัยการทำงานของบุคลากรโดยรวม มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก แบ่งออกเป็น 4 ปัจจัยคือ ความรู้ความเข้าใจในการทำงานอยู่ในระดับมากที่สุด ความสัมพันธ์กับบุคคลในที่ทำงานอยู่ในระดับมาก สภาพแวดล้อมในการทำงานอยู่ในระดับมาก ขวัญและกำลังใจในการทำงานอยู่ในระดับมาก 2. ด้านวิธีปฏิบัติงาน โดยรวมระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก 3. ด้านวัสดุและอุปกรณ์โดยรวมระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก 4. ด้านคอมพิวเตอร์และโปรแกรมโดยรวมระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และจากการสัมภาษณ์เชิงลึกพนักงานส่วนใหญ่ เห็นว่าความคลาดเคลื่อนจากการคิดค่ารักษาทางกายภาพบำบัดจะพบในขั้นตอนการบันทึกค่ารักษา ลงในระบบคอมพิวเตอร์ โดยการแก้ไขควรเน้นการทวนสอบการทำงานเพื่อลดข้อผิดพลาด และเมื่อเกิดความคลาดเคลื่อน ควรกล่าวคำขอโทษต่อผู้รับบริการ โดยแจ้งหัวหน้ารวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อร่วมกันพิจารณาหาสาเหตุและแนวทางการแก้ไข ซึ่งผู้ทำการศึกษาได้เสนอแนวทางแก้ไข 3 ทางเลือก คือ 1. การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศ ในการคิดค่ารักษา 2. การปรับปรุงกระบวนการและปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการคิดค่ารักษาตามหลัก 4M และ 3. การสร้างแรงจูงใจและบทลงโทษในการทำงาน โดยใช้แบบประเมินกลยุทธ์ของ Richard Rumelt เพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับองค์กรนี้ คือ แนวทางที่ 2 การปรับปรุงกระบวนการและปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการคิดค่ารักษาทางกายภาพบำบัดตามหลัก 4M ในด้านปัจจัยการทำงานของบุคลากร, วิธีปฏิบัติงาน, วัสดุและอุปกรณ์ และคอมพิวเตอร์และโปรแกรม เนื่องจากต้นทุนในการจัดการตามแนวทางนี้ค่อนข้างต่ำ สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลามาก และพนักงานในหน่วยงานสามารถปรับตัวต่อแนวทางนี้ได้ง่าย87 332 - Publicationการเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานด้วยการพัฒนาขั้นตอนการดําเนินงานและการจัด Layout กรณีศึกษาแผนก Operation บริษัท FLS1993 (Thailand) Co., Ltd.(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; การศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้ พบปัญหาจากการศึกษาขั้นตอนการดำเนินงาน พบว่า แต่ละฝ่ายต้องมีการติดต่อสื่อสารกันภายใน เพื่อให้งานแต่ละชิ้นเสร็จสิ้นไปด้วยดีแต่การวาง Layout ของแผนก ทำให้ฝ่ายที่มีการติดต่อสื่อสารมากอยู่ไกลกัน ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างแผนก การส่งเอกสารต้องใช้ระยะทางและเวลามากขึ้น และยังพบว่า ขั้นตอนการดำเนินงานบางส่วนมีการซ้ำซ้อนกันของแต่ละฝ่าย กล่าวคือ งานที่ควรเป็นของฝ่ายที่ 1 แต่ฝ่ายที่ 2 กลับมาทำงานนี้ด้วย ทำให้เกิดการซ้ำซ้อนในการทำงาน จากปัญหาที่กล่าวมา ถือเป็นการเพิ่มภาระงานให้กับพนักงานโดยไม่จำเป็น ทำให้พนักงานต้องทำงานหนักขึ้น และเป็นการใช้เวลาในการทำงานมากเกินไป โดยการศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อหาแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานโดยการลดระยะเวลาในการทำงาน และขั้นตอนของการปฏิบัติงาน และเพื่อศึกษาปรับปรุงและพัฒนาขั้นตอนการทำงานและการจัดวาง Layout ภายในสำนักงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในด้านระยะเวลาการปฏิบัติงานของพนักงาน จากการศึกษาความรู้เรื่องทฤษฎี Load-distance Technique, ทฤษฎี ECRS, Lean Office และการจัดวาง Layout สำนักงาน เข้ามาใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น หลังจากที่ได้ปรับปรุงกระบวนการทำงานและปรับปรุง Layout ของสำนักงานใหม่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อขั้นตอนการนำเข้า ดังต่อไปนี้ ขั้นตอนการทำงานของ CS ลดลงจาก 5 ขั้นตอน เหลือ 2 ขั้นตอน เวลาในการทำงานรวมลดลง 1 ชั่วโมง จากการปรับปรุงกระบวนการทำงาน คิดเป็น 19.34% เวลาในการติดต่อสื่อสารลดลง 15 นาที คิดเป็น 42.85% ระยะทางที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารและส่งเอกสาร ลดลง 20 เมตร คิดเป็น 33.89% เส้นทางการติดต่อสื่อสารและการส่งต่อเอกสารเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้การทำงานไหลลื่นมากขึ้น หลังจากปรับปรุงกระบวนการทำงานและการจัด Layout ใหม่ช่วยให้เวลาและระยะทางในการทำงานลดลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในด้านระยะเวลาในการทำงาน และขั้นตอนของการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น ตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา นอกจากนี้การปรับปรุงที่เกิดขึ้นยังช่วยให้เส้นทางการติดต่อสื่อสารและการส่งต่อเอกสารเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้การทำงานไหลลื่นเป็นขั้นตอนมากขึ้น136 1170 - Publicationแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบการเงินของบุคลากร สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ส่วนกลาง)(University of the Thai Chamber of Commerce, 2021)
; ; ; ; การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาสาเหตุที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพงานตรวจสอบการเงิน 2) เพื่อวิเคราะห์หาแนวทางการแก้ไขและเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานตรวจสอบการเงินของบุคลากร สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ส่วนกลาง) โดยการใช้วิธีการสัมภาษณ์ (Interview) กลุ่มตัวอย่างจากผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบการเงินของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป จำนวน 10 ท่าน และใช้แบบสอบถามตามแนวคิดมาตรวัดของลิเคิร์ท (Likert Rating Scales) ประกอบด้วยปัจจัยที่ส่งผลทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนงานด้านการตรวจสอบการเงิน จำนวน 5 ปัจจัย และปัจจัยที่ทำให้ประสิทธิภาพด้านการตรวจสอบการเงินเพิ่มขึ้น จำนวน 4 ปัจจัย โดยใช้สูตรคำนวณหาขนาดตัวอย่างของทาโร ยามาเน่ (Taro Yamane) ได้จำนวน 278 คน การวิจัย พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนงานด้านการตรวจสอบการเงินโดยภาพรวม มีระดับความสำคัญมาก ค่าเฉลี่ย 4.00 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.88 โดยมีปัจจัยด้านการบริหารงานและบุคลากรของหน่วยรับตรวจ ระดับความสำคัญมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.23 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.77 เป็นปัจจัยที่ส่งผลทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนงานด้านการตรวจสอบการเงินสูงที่สุด รองลงมาคือปัจจัยด้านการบริหารงานภายในองค์กรระดับความสำคัญมาก ค่าเฉลี่ย 4.14 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.79 ปัจจัยด้านผู้บังคับบัญชา ระดับความสำคัญมาก ค่าเฉลี่ย 3.96 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.87 ปัจจัยด้านลักษณะของงาน ระดับความสำคัญมาก ค่าเฉลี่ย 3.84 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.97 และปัจจัยด้านบุคคลของผู้ปฏิบัติงาน ระดับความสำคัญมาก ค่าเฉลี่ย 3.83 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.93 ตามลำดับ ปัจจัยที่ทำให้ประสิทธิภาพด้านการตรวจสอบการเงินเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมมีระดับความสำคัญมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.26 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.77 โดยมีปัจจัยด้านความมั่นคงและก้าวหน้าในตำแหน่งงาน ระดับความสำคัญมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.37 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.75 เป็นปัจจัยที่ส่งผลทำให้ประสิทธิภาพด้านการตรวจสอบการเงินเพิ่มขึ้นสูงสุด รองลงมาคือปัจจัยด้านการบริหารงานภายในองค์กร ระดับความสำคัญมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.34 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.74 ปัจจัยด้านผู้บังคับบัญชา ระดับความสำคัญมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.22 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.75 และปัจจัยด้านลักษณะของการทำงาน ระดับความสำคัญมาก ค่าเฉลี่ย 4.09 (𝑋̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.81 จากผลการวิจัย แสดงให้เห็นว่ามีปัจจัยหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการตรวจสอบการเงินของบุคลากร สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ส่วนกลาง) โดยเฉพาะปัจจัยด้านการบริหารงานและบุคลากรของหน่วยรับตรวจ และจากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ด้านการตรวจสอบการเงินของบุคลากรนั้นประกอบไปด้วยหลายปัจจัยเช่นกัน โดยเฉพาะปัจจัยด้านความมั่นคงและก้าวหน้าในตำแหน่งงาน ดังนั้นควรมีข้อกำหนดที่ชัดเจนในการชี้แจงเหตุผลและแสดงพยานหลักฐานของหน่วยรับตรวจ พร้อมสื่อสารข้อกำหนดดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้องค์กรควรส่งเสริมด้านฝึกอบรม พัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่องและเหมาะสมให้แก่บุคลากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบการเงินของบุคลากร สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ส่วนกลาง) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น169 1487